<< Go Back

ตำนานพระยากง-พระยาพาน
          หลายร้อยปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าสิการาชแห่งเมืองกำแพงแสนได้มอบราชสมบัติให้กับพระราชโอรสผู้ทรงพระนามว่า "พระยากง" ปกครองบ้านเมืองพร้อมทั้งส่งสาส์นไปทูลขอราชธิดาของพระเจ้าเทลเมศวรแห่งเมืองเพชรบุรีมาอภิเสกให้เป็นพระมเหสี หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าสิการาชก็เสด็จสวรรคต เมื่อทำพิธีถวายพระเพลิงพระบิดาเป็นที่เรียบร้อย พระยากงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นศรีวิชัย
          ครั้นเมื่อพระมเหสีทรงครรภ์จนครบกำหนดและประสูติพระโอรส หมอหลวงได้นำพานทองเข้าไปรองรับ เผอิญพระนลาฏ (หน้าผาก) ของพระโอรสถูกขอบพานจนเกิดแผลเป็น และเมื่อพระยากงให้ตรวจดูดวงชะตาดูโหรหลวงได้ทูลว่า พระโอรสเป็นผู้มีบุญญาธิการแต่จะทำปิตุฆาต (ฆ่าบิดา) พระยากงรู้สึกโทมนัส จำต้องสั่งให้นำพระกุมารไปทิ้งในป่าไผ่นอกเมือง
          แต่ดวงชะตาของพระโอรสยังไม่ถึงฆาต เมื่อเหล่าทหารนำไปทิ้งแล้วต่างก็พากันกลับทันที บังเอิญยายหอมซึ่งเป็นชาวบ้านแถวนั้นสังเกตเห็นฝูงแร้งจับกลุ่มกันอยู่เหนือยอดไผ่จึงเดินไปดู พบเด็กทารกนอนร้องไห้อยู่ในพานรู้สึกสงสารและเอ็นดูได้เก็บมาเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม โดยตั้งชื่อว่าพาน
          แต่บางตำนานบอกว่า พระยากงให้นำพระกุมารใส่พานทองไปลอยน้ำ ยายจันซึ่งปลูกบ้านอยู่ริมน้ำพบเข้าคิดที่จะนำมาเลี้ยงไว้ แต่ติดที่ตนมีลูกอยู่แล้วหลายคนเลยนำไปให้ยายหอมผู้เป็นน้องสาวซึ่งไม่มีลูก และยายหอมนั้นมีอาชีพเลี้ยงเป็ดตั้งแต่ยังเป็นสาว จนกระทั่งขี้เป็ดสูงขึ้นเป็นโคก บริเวณนั้นจึงถูกเรียกว่า "โคกยายหอม"
          15 ปีต่อมา พานเติบโตเป็นหนุ่มอยากจะออกไปเผชิญโชค ยายหอมเห็นว่าไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้ก็อนุญาตให้ไป พานพาสมัครพรรคพวกออกเดินทางขึ้นเหนือไปฝากเนื้อฝากตัวเรียนวิชากับสมภารแห่งวัดใหญ่ เมืองสุโขทัย ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปีได้บรรพชาอยู่สองพรรษาจึงลาสิกขา
          อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเมืองสุโขทัยสุบินนิมิตว่ามีพานทองใบหนึ่งลอยมาจากทิศใต้และพระองค์ทรงรับไว้ได้ โหรทำนายว่าเจ้าเมืองสุโขทัยจะได้ผู้มีบุญญาธิการสูงมาอยู่ในปกครอง ต่อมาไม่นานทิดพานพบช้างตกมันเชือกหนึ่งกำลังอาละวาดเอางาไล่แทงผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ควาญช้างไม่สามารถจับได้ ทิดพานจึงตรงเข้าจับช้างเชือกนั้น เอางากดไว้กับดินจนช้างนั้นหมดฤทธิ์ไม่สามารถอาละวาดได้อีกต่อไป พวกกรมช้างรีบช่วยกันจับขาช้างสวมปลอกผูกไว้อย่างแน่นหนาแล้วนำความเข้ากราบทูลต่อเจ้าเมืองสุโขทัย
          เมื่อให้ทหารนำตัวมาเข้าเฝ้าและทรงเห็นว่าทิดพานเป็นผู้มีวิชาความรู้ เจ้าเมืองสุโขทัยจึงซักประวัติความเป็นมา ทิดพานทูลว่าตนได้รับการเลี้ยงดูจากยายหอมมาจนโต เจ้าเมืองพิจารณาดูรูปร่างลักษณะเห็นว่าคงไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาโปรดให้รับไว้ทำราชการ ทิดพานก็ตั้งใจทำงานสนองพระเดชพระคุณจนเป็นที่พอพระทัย ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมหาอุปราชและเป็นแม่ทัพไปตีเมืองศรีวิชัยของพระยากง ซึ่งกำลังเป็นเมืองที่แข่งบารมีกับเมืองสุโขทัยอยู่ในเวลานั้น
          เมื่อพระยากงเห็นข้าศึกยกทัพมาล้อมเมืองพร้อมมีสาส์นมาท้าชนช้างจึงรีบยกพลออกไปต่อสู้ ระหว่างทางเกิดเหตุอาเพศเป็นเครื่องบอกลางร้ายหลายประการ เช่น พระยากงรู้สึกลมหายใจติดขัดทั้งซ้ายขวา และขณะยกกองทัพออกจากเมืองนั้นปรากฏว่าเทวดาบันดาลให้กิ่งโพธิ์ขนาดใหญ่หักลงมาทับทหารล้มตายไปหลายคน
          เมื่อช้างทรงของพระยากงประจันหน้ากับช้างของพระยาพาน พระยากงมีเชิงรบที่เหนือกว่าจึงได้ทีฟันของ้าวเข้าใส่ พระยาพานเอี้ยวหลบคมง้าวพลาดไปถูกหมวก ทำให้พระยากงมองเห็นแผลเป็นที่หน้าผากของพระยาพานก็หวนรำลึกถึงพระโอรสจนเผลอเหม่อลอย พระยาพานเห็นได้ทีรีบฟันด้วยของ้าวจนพระเศียรของพระยากงขาดกระเด็น เหล่าทหารต่างเสียขวัญพากันหลบหนีเข้าเมือง หลังจากยึดเมืองศรีวิชัยได้แล้วและเห็นว่าเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างยอมสวามิถักดิ์ พระยาพานจึงให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
          จากนั้นได้เสด็จไปที่อยู่ของพระมเหสีและเหล่านางสนมกำนันของพระยากงเพื่อจะดูว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร เทวดาผู้มีหน้าที่รักษามหาปราสาทเกรงจะเกิดเรื่องอุบาทว์ขึ้น เพราะพระยาพานเป็นโอรสของพระมเหสีและพระยากง จึงแปลงเป็นแมวสองแม่ลูกไปนอนขวางอยู่หน้าประตู พระยาพานไม่ทันสังเกตเลยเดินข้ามไป ลูกแมวก็พูดกับแม่แมวว่า "เขาคงเห็นเราเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานถึงกล้าทำเช่นนี้" แม่แมวตอบว่า "แม้แต่แม่ของเขาเขายังคิดเกี้ยวพาราสี นับประสาอะไรจะมาสนใจสัตว์อย่างเรา" พระยาพานได้ฟังดังนั้นรู้สึกประหลาดใจ จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่าหากพระมเหสีของพระยากงเป็นมารดาของตนขอให้มีน้ำนมไหลออกมาซึ่งก็เป็นจริงตามคำอธิษฐานทุกประการ
          พระยาพานรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องทำปิตุฆาตเพราะไม่ทราบความจริง นึกโกรธยายหอมที่ไม่ยอมบอกเรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดเดิมให้ทราบ มีรับสั่งให้เสนานำตัวยายหอมไปประหาร บริเวณที่ประหารยายหอมนั้นต่อมาได้ชื่อว่า "โคกยายหอม" (สันนิษฐานว่าคงจะประหารตรงโคกที่ยายหอมเลี้ยงเป็ดจนขี้เป็ดกองสูงเป็นโคกตามที่กล่าวไว้ในตอนแรก) ส่วนตรงที่กิ่งโพธิ์หักนั้นได้ชื่อว่า "บ้านโพธิ์หัก" และจุดที่ชนช้างนั้นได้ชื่อว่า "ตำบลถนนฆาฏ"
          อยู่ต่อมาพระยาพานรู้สึกไม่สบายใจคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ตนทำลงไปว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ด้วยก่อนถูกประหารยายหอมได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ไปพบพระยาพานอยู่ในพานทองและทำท่าแร้งให้ดู ที่ตรงนั้นต่อมาได้ชื่อว่า "ตำบลท่าแร้ง" เมื่อรู้ว่าได้กระทำความผิดอย่างใหญ่หลวงเพราะฆ่าผู้มีพระคุณซึ่งชุบเลี้ยงมาตั้งแต่วัยเด็กและประหารพระบิดาผู้ให้กำเนิด พระยาพานจึงปรึกษากับเหล่าเสนาอำมาตย์ได้รับคำแนะนำว่าควรสร้างพระเจดีย์สูงเท่านกเขาเหิน เพื่อเป็นการไถ่บาป (บางตำนานกล่าวว่าได้รับคำแนะนำจากพระอรหันต์ 5 องค์ที่ธุดงค์มา)
          พระยาพานรีบเกณฑ์ไพร่พลและใช้เวลาก่อสร้างอยู่ราว 10 เดือน พระสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่จึงแล้วเสร็จ หลังจากทำพิธีสมโภชเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้วพระยาพานได้แต่งพระราชสาส์นพร้อมเครื่องบรรณาการไปยังเมืองสุโขทัย พระยาพานได้ครองเมืองศรีวิชัยอยู่เป็นเวลา 12 ปีก็สวรรคต เนื่องจากไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาทำให้ไม่มีรัชทายาทปกครองต่อ เจ้าเมืองสุโขทัยยกทัพมาทอดพระเนตรเห็นศรีวิชัยกลายเป็นเมืองร้างเกิดความเศร้าสลดจึงโปรดให้ยกทัพกลับ ระหว่างทางพบภูมิประเทศแห่งหนึ่งมีชัยภูมิเหมาะสมได้โปรดให้สร้างเมืองขึ้นเพื่อให้ "พระยาสายทอง" ราชโอรสปกครองและแบ่งไพร่พลให้อยู่สร้างบ้านเมืองสองพันคน เมืองนั้นจึงได้ชื่อว่า "เมืองสองพันบุรี" (ต่อมาน่าจะกลายเป็นเมืองสุพรรณบุรี) ส่วนเจ้าเมืองสุโขทัยได้กลับไปครองอาณาจักรของพระองค์ตามเดิม
          บางตำนานบอกว่าพระยากงนั้นเป็นเจ้าเมืองนครชัยศรี และเมื่อโตเป็นหนุ่มยายหอมได้นำพระยาพานไปฝากให้อยู่ในปกครองของเจ้าเมืองราชบุรีซึ่งเป็นเมืองขึ้นของนครชัยศรี ต่อมาพระยาพานรับอาสาเจ้าเมืองราชบุรียกกองทัพมาตีเมืองนครชัยศรีจนได้รับชัยชนะ ส่วนพระเจดีย์ที่สร้างนั้นต่อมาได้ชื่อว่า "พระปฐมเจดีย์" และพระยาพานได้สร้างเจดีย์อีกแห่งหนึ่งใกล้กับเจดีย์แห่งแรกเพื่อเป็นการำลึกถึงคุณยายหอมที่เลี้ยงดูมาคือ "พระประโทณเจดีย์" ซึ่งเจดีย์แห่งนี้มีรูปยายหอมอุ้มพระยาพานไว้มือหนึ่งอีกมือหนึ่งถือไม้เรียวอยู่ตรงริมบ่อเลี้ยงเป็ด ส่วนสถานที่ที่ยายหอมถูกฟันหัวขาดนั้นได้ชื่อว่า "ถนนขาด" นับแต่นั้นมา
          และยังมีเกร็ดตำนานของ "อำเภอสามพราน" ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระยากงพระยาพาน กล่าวคือ มีช้างประหลาดตัวหนึ่งออกอาละวาด ชาวบ้านเรียกว่า "ช้างหัวเสือ" เพราะหัวของช้างตัวนี้เป็นเสือ พระยาพรานต้องการจะได้มาใช้สำหรับทำสงครามยุทธหัตถีกับพระยากง จึงป่าวประกาศให้รางวัลสำหรับผู้ที่จับช้างหัวเสือมาถวาย นายพรานสามคนได้ทราบข่างจึงขันอาสา
          เจ้าช้างหัวเสือตัวนี้มักจะลงมากินน้ำที่ริมแม่น้ำนครชัยศรีทุกวัน จนทางที่มันเดินต่อมากลายเป็นทางน้ำไหล มีชื่อว่า "คลองบางช้าง" และจุดที่นายพรานทั้งสามคนเดินข้ามฟากไปจับช้างได้ชื่อว่า "ตำบลท่าข้าม" ส่วนจุดที่นายพรานทั้งสามตั้งค่ายพักแรมนั้นต่อมาเรียกว่า "สามพราน" ปัจจุบันเป็นชื่อของอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครปฐม พระยาพานได้ใช้ช้างเชือกนี้ชนกับช้างของพระยากงจนได้รับชัยชนะ และทางเหนือคลองบางช้างในปัจจุบันมีวัดสองวัดอยู่ใกล้กัน ชื่อว่า "วัดช้างเหนือ" และ "วัดช้างใต้" หน้าโบสถ์ของวัดช้างใต้นั้นมีรูปพระยาพานขี่ช้างหัวเสือต่อสู้กับพระยากง ทุกปีเมื่อการทอดผ้าป่าที่วัดนี้ชาวบ้านจะทำผ้าป่าเป็นรูปช้างหัวเสือ อันเป็นประเพณีที่กระทำสืบทอดกันมา

http://jewelllee.blogspot.com/2012/12/blog-post.html

<< Go Back